การเดินทางหลังความตาย
ชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการกระทำตอนมีชีวิตอยู่
อันว่าความตายไม่มีนิมิตหมาย ประดุจเงาตามตัวของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก แต่สรรพสัตว์หารู้ไม่ว่า ความตาย คือ เพชฌฆาตที่คอยเงื้อดาบเดินตามหลังบุคคลอยู่ทุกย่างก้าว พร้อมที่จะฟาดฟันอยู่ทุกขณะ มนุษย์ทั้งหลายยังตกอยู่ในความประมาท หาสำนึกถึงความจริงข้อนี้ไม่ ความแก่และความตายติดตัวบุคคลมาตั้งแต่วันแรกที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา แต่ยังไม่ปรากฏชัดเป็นสภาพแฝงเร้นอยู่ ย่อมปกปิดไม่ให้เห็น ภายนอกมองดูเป็นการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่ผู้รู้เรียกอาการอย่างนั้นว่า “วัย” หมายความว่า “เสื่อมไป สิ้นไป หมดไป” แต่เมื่อถึงปัจฉิมวัย ความแก่จึงปรากฏชัดเจนถึงที่สุด ปกปิดไม่ได้อีกต่อไป จนในที่สุดก็ต้องแตกทำลาย คือ ตาย หรือบางคนก็ตายก่อนวัยอันควร ในช่วงก่อนที่มนุษย์จะหลับตาลาโลก กายมนุษย์ละเอียดจะถอดออกจากกายมนุษย์หยาบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะเป็นการเลือกเส้นทางของชีวิตใหม่ และเป็นการสรุปความสำเร็จของการเกิดมาในชาตินี้ว่า ประสบความสำเร็จหรือไม่ เป็นศึกชิงภพครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการสรุปงบดุลชีวิต ชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไร จะเกิดในสุคติภูมิ หรือทุคติภูมิ อยู่ที่ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนี้เอง
ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมมีผลต่อการเดินทางไปสู่ปรโลก
ความเชื่อเรื่องกรรมมีผลต่อชีวิตหลังความตาย
กฎแห่งกรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากไม่มีการเกิดใหม่หรือการเวียนว่ายตายเกิด หรือที่เรียกว่าสังสารวัฏ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ปัญหาเรื่องคนดีที่มีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน และคนชั่วบางคนมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ หรือปัญหาความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคน ยังคงเป็นปัญหาที่ค้างคาใจอยู่ในมนุษย์ทุกหมู่เหล่า แม้วิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าเพียงใด มีเครื่องมือที่ทันสมัย ก็ยังไม่สามารถค้นหาคำตอบที่ชัดเจนได้ แต่ในทางพุทธศาสตร์นั้นมีคำตอบมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว โดยการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนำมาตรัสแสดงให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับทราบว่า ความแตกต่างของสรรพสัตว์นั้นเกิดจากกฎแห่งกรรม
การที่บุคคลไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น มีผลเนื่องมาจากยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า กฎแห่งกรรม เป็นสิ่งจำแนกความแตกต่างระหว่างมนุษย์ เพราะช่วงชีวิตของบุคคลหนึ่งนั้นสั้นเกินไป ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ผลของกรรมที่บุคคลทำไว้ได้ โลกมนุษย์จึงเป็นศูนย์กลางของการสร้างบุญและบาป ใครทำกรรมดีกรรมชั่วไว้มากน้อย เบาบางหรือรุนแรงเพียงใด เขาย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น เพราะฉะนั้นความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง ควรเพาะให้มีขึ้นในใจของคนทุกคน ถ้าคนทั้งหลายเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมแล้ว เขาจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีความสุขใจ และเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั้งหลายต่างขวนขวายทำแต่กรรมดี โดยหวังผลที่ดีให้เกิดในภายภาคหน้า โลกนี้ก็ย่อมเกิดสันติสุขได้อย่างแน่นอน
ลักษณะของอารมณ์ก่อนตายของผู้จะเดินทางไปสู่ปรโลก
อารมณ์ก่อนตายมีผลต่อชีวิตหลังความตาย
เมื่อคนใกล้ตายโดยทั่วไปจะมีลักษณะอารมณ์ 3 อย่างเกิดขึ้น ปรากฏเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิต ที่จะชักนำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ อารมณ์ทั้ง 3 มีดังนี้
1. กรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ของกรรมที่ตนเคยกระทำไว้ มาปรากฏให้เห็นในขณะจิตที่กำลังใกล้ตาย เช่น ถ้าตนเคยฆ่าวัวเพื่อขายเนื้อเป็นประจำ ภาพที่ตัวเองเคยฆ่าจะมาปรากฏ ด่าพ่อว่าแม่ เคยทะเลาะเบาะแว้ง หรือดื่มเหล้าเป็นปกติ ลักขโมยของเป็นปกติ ภาพเหล่านี้จะมาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกับที่ตัวเคยทำไว้ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจิตก็ยึดเอาภาพเหล่านั้นเป็นอารมณ์ กรรมารมณ์นี้จะมีผลต่อจิตที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ
2. กรรมนิมิตตารมณ์ หากกรรมารมณ์ไม่ปรากฏให้คนที่ใกล้จะตายเห็น ก็จะมีกรรมนิมิตตารมณ์ปรากฏให้เห็น ได้แก่ อุปกรณ์ที่ตนใช้กระทำดีหรือชั่วในอดีตมาปรากฏให้เห็น เพราะตามธรรมดาในการประกอบกรรมทุกชนิด ส่วนมากจะมีอุปกรณ์เครื่องมือ เช่น ฆ่าวัว ก็ต้องมีมีด ค้อน เป็นต้น เป็นเครื่องมือ หรือทำบุญก็จะมีไทยธรรม มีเครื่องใช้ไม้สอยในการประกอบบุญ เช่น ขันใส่ข้าว ทัพพีตักอาหารใส่บาตร เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะมาปรากฏเป็นกรรมนิมิตในขณะจิตใกล้จะดับ ซึ่งภาพที่เห็นจะแจ่มชัดเพียงใด สุดแต่ใครจะทำดีชั่วด้วยสิ่งใด บ่อยมากเพียงใด เมื่อจิตยึดหน่วงไว้เป็นอารมณ์ ภาพเหล่านั้นจะมีผลต่อความหมองหรือใสของใจ
3. คตินิมิตตารมณ์ หากกรรมนิมิตตารมณ์ไม่ปรากฏ คตินิมิตตารมณ์จะปรากฏให้เห็น ได้แก่ นิมิต ต่างๆ ที่จะบ่งบอกถึงภพภูมิที่ตนจะต้องไปเกิด ปรากฏให้เห็นเด่นชัด บางทีก็เป็นภาพที่ตนไม่เคยเห็นมาปรากฏ แต่บางทีก็เป็นภาพที่ตนเคยเห็นครั้งที่เป็นมนุษย์มาปรากฏ เช่น ภาพสัตว์หรือมนุษย์ เป็นต้น
คตินิมิตก่อนตายของคนที่ใจหมอง หรือทำกรรมชั่วไว้เยอะ
ส่วนใหญ่เราไม่อาจจะรู้ได้ว่า ชีวิตหลังความตาย ตายแล้วไปไหน ยกเว้นคนที่เห็นคตินิมิตตารมณ์ ชัดเจน เช่น เห็นภาพที่มืดดำมีไฟลุกโชนเป็นสีดำ มีนายนิรยบาล รูปร่างน่ากลัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถือเครื่องทัณฑ์ทรมานต่างๆ พอจะคาดคะเนได้ว่า คติของผู้เห็นต้องไปสู่นรก ส่วนจะขุมไหนก็แล้วแต่กรรมของ ผู้กระทำ เมื่อคตินิมิตตารมณ์ปรากฏเช่นนั้น ผู้ที่ใกล้ตาย ก็จะเกิดความสะดุ้งกลัว ตัวสั่น ร้องเสียงดังเอะอะโวยวาย มือไขว่คว้าอากาศ ปัดป้องไปมา ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมาก
คตินิมิตที่ดีย่อมแสดงว่าเมื่อตายแล้วต้องไปสู่สุคติ
หรือบางคนคตินิมิตตารมณ์ เห็นเป็นภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่มีความสวยงาม มีผู้คนที่สวยงาม สวมชุดที่สวยงาม มีเครื่องประดับอันวิจิตรอลังการ มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบานอย่างมีความสุข มีเสียงดนตรีที่ไพเราะ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อภาพเหล่านี้มาปรากฏ คนใกล้ตายยินดีเพลิดเพลินกับภาพเหล่านั้น ย่อมเกิดความโสมนัส ใบหน้าดูผ่องใส มีรอยยิ้มละไม ตายด้วยอาการสงบ คตินิมิตที่คนใกล้ตายเห็นนั้น ย่อมแสดงว่าไปเกิดบนสวรรค์
บางคนมีคตินิมิตมาปรากฏหลายอย่าง เพราะทำบุญปนบาป วัดก็เข้า เหล้าก็กิน ทำชั่วสลับดีตาม ประสาชาวบ้านทั่วไป เมื่อใกล้ตาย คตินิมิตจะปรากฏให้เห็นหลายอย่าง ทั้งฝ่ายสุคติ และทุคติ เมื่อเป็น เช่นนี้คตินิมิตที่ปรากฏหลังสุดจะมีกำลังมากกว่า จิตผู้ตายก็จะหน่วงเป็นอารมณ์ แล้วกายละเอียดก็หลุดไปสู่คตินิมิตสุดท้ายที่ปรากฏ อารมณ์ทั้ง 3 อย่างนี้จะเกิดแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกผู้ทุกคน ไม่ยกเว้นว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉาน อารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นในขณะจิตที่เร็วมาก ยกเว้นบางคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตาย จึงกลายเป็นสัมภเวสีที่ล่องลอยไปมาหาที่เกิด แต่ถ้านึกถึงบุญที่ตนเคยทำได้ บุญก็จะนำไปสู่สุคติ หากบาปอกุศลตามมาทัน ก็ต้องถูกยมทูตพาตัวไปให้พญายมราชตัดสินคดีความต่อไป
อาการก่อนที่จิตจะออกจากร่าง
เมื่ออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง จะมีอาการหายใจหอบแรงๆ ที่เรียกว่า 3 เฮือกปรากฏให้เห็น บางท่านอาจจะมีอาการเฮือกให้เห็นเด่นชัด บางท่านก็เห็นแบบแผ่วเบา บางท่านก็ไม่เห็น ก็แล้วแต่อารมณ์ในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร อาการ 3 เฮือกที่ปรากฏนี้ เป็นอาการของจิตที่จะหลุดออกจากขั้วต่อกาย และจิตกำลังเดินทางตามฐานทั้ง 7 หลุดออกจากกายหยาบ เป็นอันว่า การตายนั้นสมบูรณ์แล้ว ปฏิสนธิจิตก็เกิดเป็นกายใหม่ทันที
ขอบคุณข้อมูลจากเวป http://ตายแล้วไปไหน.dmc.tv